ชินโตเป็นศาสนาหรือไม่นั้นยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากชินโตไม่มีองค์
ประกอบที่จำเป็นของศาสนาที่เด่นชัด หากจะพูดถึง"ชินโต" โดยทั่วๆไปแล้วจะหมายถึง "พระเจ้า
ในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่มีรากฐานมาจากจิตวิญญาณ และมีการพัฒนา
รูปแบบขึ้นมา" และยังหมายรวมถึงภูมิปัญญามากมายในการดำเนินชีวิตและวิธีคิดที่ได้สืบทอดกัน
มา
เดิมทีชินโตมีรากฐานมาจากการบูชาเทพเจ้าที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของญี่ปุ่น ชินโตในระยะแรก
ไม่มีการสร้างศาลเจ้า จนกระทั่งศตวรรษที่3-4 ในศตวรรษที่4 เมื่อรัฐบาลยะมะโตะรวบรวมญี่ปุ่น
จัดตั้งเป็นประเทศได้แล้ว ทำให้ชินโตถูกแบ่งเป็น 2ระดับคือ อะมะทสึ-คะมิ(Amatsu-kami) และ
โคคุทสึ-คะมิ(Koukutsu-kami)
คำสอนอันแรกของชินโตที่ปรากฏขึ้นในกลางสมัยเฮอัน คือ ฮนจิสุยจะขุ(Honjisuijaku) ที่ได้
ผนวกคำสอนของนิกายเทนได(Tendai) และ นิกายชินเง็น(Shingen)เข้าไว้ด้วยกัน รวมคำสอนของ
พระพุทธเจ้ากับเทพเจ้าที่มีมาตั้งแต่สมัยเฮอัน มาแยกเป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าเป็น
หลักและเทพเจ้าสำคัญเป็นรอง โดยกล่าวว่าเทพเจ้าต่างๆในญี่ปุ่นล้วนเป็นปางหนึ่งของพระพุทธเจ้า
ที่เสด็จลงมาโปรดนั่นเอง
ในสมัยใหม่กลุ่มนิกายเช่น อิเสะ(Ise) โยะชิดะ(yoshida) ฟุคโค(Fukko) ได้สร้างทฤษฎีที่เน้น
ความเป็นอิสระของชินโต เมื่อเข้าสู่สมัยเมจิได้มีการทำให้คำสอนกับพิธีกรรมของศาลเจ้าเป็นอัน
หนึ่งอันเดียวกัน โดยยึดถือพิธีกรรมของพระราชวงศ์เป็นหลัก นักบวชของชินโตมีหน้าที่ประกอบ
พิธีกรรมเท่านั้น ส่วนประชาชนทุกคนถือเป็นสาวกกลายเป็นคกคะ ชินโต(Kokka Shintou)หรือ
ชินโตที่เป็นของรัฐ
หลังสงครามโลก ชินโตแต่ละนิกายได้ถูกบัญญัติให้เป็นศาสนาถูกต้องตาม กฎหมาย จากข้อ
มูลทางสถิติของกระทรวงวัฒนธรรมของญี่ปุ่น สำรวจโดยอาสาสมัครของศาลเจ้าชินโตในปี ค.ศ.
1994 ปรากฏว่ามีผู้นับถือชินโตถึง117ล้าน3แสน7หมื่นคน และจากการสำรวจของNHKในปี ค.ศ.
1981 แสดงให้เห็นว่ามีผู้นับถือชินโตนับเป็น3%ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ถึงแม้ว่า ศาสนาพุทธนิกายเซน (Zen) จะเป็นศาสนาสำคัญของญี่ปุ่นมรปัจจุบันก็ตาม แต่ศาสนาชินโต
ซึ่งเป็นศาสนาพื้นฐานดั้งเดิมของญี่ปุ่นร่วมกับศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื้อ เป็นพื้นฐานวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
ศาสนาชินโต มีที่มาทางประวัติศาสตร์ 2 สถานการณ์ด้วยกันในศตวรรษที่ 8 มีบุรุษคนหนึ่งชื่อ ยาสุมาโร
(Yasumaro) ซึ่งเป็นเพียงข้าราชการอันดับ 5 แต่กลับกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่า องค์จักรพรรดิของญี่ปุ่น
รวมทั้งข้าราชการชั้นสูงในราชสำนัก ทั้งนี้เพราะจักรพรรดิมีคำสั่งให้ยาสุมาโรเขียนเรื่องตำนานและเทพนิยาย
ทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับสันตติวงศ์ของราชสำนักญี่ปุ่น ยาสุมาโรเดินทางไปทุกหนทุกแห่งในญี่ปุ่นแล้ว
บันทึกเทพนิยายและเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้ยินมาในระหว่างเดินทางไปยังหมู่บ้านต่างๆทั่วญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 712
ยาสุมาโรเขียนผลงานของตน โดยตั้งชื่อว่า โกจิกิ (kojiki) แปลว่า “บันทึกเก่า” หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญมาก
เริ่มต้นด้วยเทพนิยาย กล่าวถึงการสร้างโลก ตามมาด้วยเรื่อง การสืบเชื้อสายขององค์จักรพรรดิญี่ปุ่นเรื่อยมาตั้งแต่
ยุคที่ยามาสุโรเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา แต่จักรพรรดิญี่ปุ่นยังไม่ทรงพอพระทัย สั่งให้ยาสุมาโรอออกไปค้นคว้า
เรื่องราวเก่าแก่เช่นนั้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง งานครั้งที่สองของยาสุมาโรใช้เวลา 8 ปี แทนที่จะเป็น 10 ปี เหมือน
การรวบรวมเรื่องครั้งแรก หนังสือเล่มที่สองยาสุมาโรตั้งชื่อว่า นิฮอนกิ (Nihonki – ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) เป็น
หนังสือไม่น่าอ่าน ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน เพราะซ้ำซ้อนกับเรื่องในเล่มแรก เพียงแต่มีการดัดแปลง
แก้ใขบ้างเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ดีหนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลอย่างมากต่อนักศึกษาด้านมนุษย์วิทยา ความรู้เรื่อง
ญี่ปุ่นยุคโบราณได้มาจากหนังสือทั้ง 2 เล่มของยาสุมาโร โดยเฉพาะจากหนังสือเรื่อง โกจิกิ (Kojiki – บันทึกเก่า)
ยาสุมาโรทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะแม้ว่าเขาจะจำและบันทึกทุกเรื่องราวด้วยภาษาญี่ปุ่นที่อยู่ใน
ยุคของเขา แต่เขาก็ไม่มีตัวอักษรเลือกใช้เอามาเขียนได้โดยสะดวก ด้วยเหตุนี้ ยาสุมาโร จึงต้องเอาตัวอักษรจีนมา
ใช้ให้เหมาะกับภาษาญี่ปุ่น ด้วยการดัดแปลงเล็กน้อย และใช้สัญลักษณ์การเขียนตัวเดียวกัน ได้ภาษาออกมา
แตกต่างกัน สิ่งที่ยาสุมาโรเขียนไว้มีเรื่อง กามิ (Kami) ไม่ใช่ มิชิ (Michi) คือทางของกามิ แต่เขาไม่สามารถเขียน
ให้ออกเสียงเช่นนั้นได้ เพราะไม่มีตัวอักษรใช้เขียน ดังนั้นเขาจึงเลือกคำที่ตรงกันจากภาษาเขียนของจีน กามิ
คือบุคคลชั้นนำหรือบุคคลสำคัญ อำนาจของบิดา ที่มีอยู่เหนือบุตร อำนาจของจักรพรรดิมีเหนือประชากรของ
พระองค์ และอำนาจของธรรมชาติมีเหนือมนุษย์ ในการเลือกเอาถ้อยคำจีนมาใช้ในความหมายนี้ ยาสุมาโรเลือก
เอาอักษรภาพของจีนที่เขียนขึ้นหมายถึงวิญญาณ หรือปีศาจ ซึ่งในภาษาจีนคำนี้คือคำว่า ชิน (Shin) ซึ่งในญี่ปุ่น
ตรงกับคำว่า กามิ สำหรับคำว่ามิชิ ซึ่งหมายถึงทาง ยาสุมาโร เลือกเอาคำในภาษาจีนของคำว่า “เต๋า” (Toa – ทาง )
ซึ่งออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นเป็น “โต” ดังนั้นชื่อของศาสนาพื้นเมืองของญี่ปุ่นจึงเป็นคำรวมจากภาษาจีน 2 คำ
คือคำว่า “ชิน” กับคำว่า “เต๋า” แปลว่าทางเดินของพระเจ้า อย่างไรก็ดี ในการแปลความหมายนี้ ยาสุมาโร เสนอ
ทัศนคติหรือการแปลความหมายของศาสนาของประชาชนที่ตนได้บันทึกไว้ ทำให้ความหมายของกามิไม่ใช่มิชิ
มีความหมายแตกต่างไปจากเดิม
นักปรัชญารุ่นหลังๆ แม้กระทั่งในยุคศตวรรษที่ 19 ตำหนิยาสุมาโรที่ไดกระทำมาดังกล่าว โดยกล่าวว่า
ยาสุมาโรไม่ควรใช้อักษรของจีนคำว่า ชิน มาใช้ในการแสดงความหมายของคำว่า กามิ และควรใช้คำว่ามนุษย์
ในอักษรของจีนมาใช้แทนคำว่ากามิในภาษาญี่ปุ่นมากกว่า และเรียกศาสนาเดิมของญี่ปุ่นว่า “ทางเดินของมนุษย์”
มากว่า “ทางเดินของพระเจ้า” คำวิจารณ์เช่นนี้ เป็นคำวิจารณ์ของนักมนุษย์นิยม ซึ่งต้องการแสดงความเห็นใน
ยุคสมัยใหม่ของตนว่า ศาสนาชินโตนั้นมิใช่ศาสนาที่มีความเชื่อในเรื่องอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ ซึ่งวางรากฐาน
ของความเชื่ออยู่ในเรื่องอำนาจเหนือมนุษย์ หากแต่ว่าศาสนาชินโตเป็นเรื่องของการเคารพนับถือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่
การนับถือวีรบุรุษและบรรพบุรุษ
ในความหมายเช่นนี้ คำว่า กามิ จึงได้รับการสงสัยว่า เป็นคำได้มาจากที่ใด บางท่านกล่าวว่า อาจมาจากคำว่า กามูอิ
แปลว่า ปีศาจในภาษาของชาวไอนุ (ชาวไอนุคือคือ คนพื้นเมืองกลุ่มแรกที่อาศัยอยู่บนเกาะญี่ปุ่น) ชาวญี่ปุ่นนับถือ กามูอิ
และมีบางท่านกล่าวว่า คำว่า กามิ เป็นคำมาจากภาษาของชาวโพลีนีเชีย ของคำว่าต้องห้าม ซึ่งหมายความว่า กามิ เป็นเรื่อง
แตะต้องมิได้ เพราะกามิเต็มไปด้วยพลังลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ จากข้อสงสัยดังกล่าวนี้จึงถือได้ว่าชาวไอนุเป็นประชากร
ได้เดินทางเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะญี่ปุ่นเป็นกลุ่มแรก แต่ในเวลาต่อมามีผู้คนอีกสองระลอกได้เดินทางไปอยู่บน
เกาะญี่ปุ่น กลุ่มหนึ่ง เดินทางมาจากจีน ซึ่งบางทีอาจจะเดินผ่านมาทางประเทศเกาหลี และอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางมาทาง
ทะเลจากโพลีนีเชียนในหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ ชาวโพลีนีเชียนที่เดินทางเข้ามาส่วนใหญ่เป็นพวกนักรบและชาวประมง
ในหนังสือโกจิกิ ของยาสุมาโร ได้อธิบายไว้ว่ากามิไม่ใช่มิชิ หรือชินโตมีทางของอำนาจเหนือทอมนุษย์ จึงไม่อาจกล่าว
ได้ว่า กามิคือพระเจ้า แต่ก็อาจกล่าวได้ว่ากามิคือ เทพ หรืออำนาจ เมื่อกามิองค์หนึ่งถึงแก่กรรมก็จะมีกามิ อีกองค์หนึ่งเกิดขึ้น
มาแทน จนกระทั่งได้กามิ 16 ชื่อ ซึ่งปรากฏว่า ส่วนใหญ่เป็นกามิในลักษณะระโหราศาสตร์ จนกระทั่งถึงกามิองค์ที่ 17 และ
ที่ 18 อิซานากิ (Izanagi) และอิซานามิ (Izanami) ซึ่งเป็นปฐมบรรพชนของราชสำนักญี่ปุ่น
อิซานากิและอิซานามิ ได้รับคำสั่งจากสหายเทวะด้วยกันให้สร้างญี่ปุ่นขึ้นมา เรื่องนี้อิซานากิ และอิซานามิกระทำสำเร็จ
โดยเอาปลายหอกจุ่มลงในมหาสมุทรของโลก น้ำทะเลที่ไหลลงมาจากปลายหอกเมื่อเอาปลายหอกขึ้นจากท้องทะเล ทำให้
เกิดเกาะขึ้นมาเป็นเกาะแรกของญี่ปุ่น เกาะนี้ปัจจุบันเรียกว่าเกาะโอโนโกโร (Onogoro)
ภายหลังสร้างเกาะญี่ปุ่นเกาะแรกขึ้นมา โดยวิธีเช่นนี้แล้ว และต่อมายังสร้างเกาะอื่นๆขึ้นมาอีกรวมทั้งทวีปต่างๆด้วยแล้ว
อิซานากิ และอิซานามิก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ด้วยเหตุนั้น เราจึงได้อ่านพิธีสมรสตามประเพณีเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งกำหนดไว้ว่า
คู่สมรสจะต้องเดินรอบๆเสากลางบ้าน ฝ่ายหญิงจะกล่าวว่า ร่างกายของเธอขาดส่วนหนึ่งไป ฝ่ายชายจะกล่าวว่า ร่างกายส่วน
หนึ่งของเขามีเกินมา ดังนั้น ทั้งคู่จึงควรแต่งงานกัน ฝ่ายหญิงจะเดินรอบเสาไปทางซ้ายมือ ฝ่ายชายจะเดินรอบเสาไปทางขวา
และเมื่อเดินทางมาพบกันก็จะพูดกัน เป็นอันว่าทั้งคู่แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามพิธีการ
แต่นับว่าเป็นเรื่องโชคไม่ดี ในการแต่งงานระหว่างอิซานามิ กับ อิซานากิ เพราะอิซานามิเป็นฝ่ายพูดก่อน ด้วยเหตุนี้จึงทำ
ให้เกิด ฮิรุโกะ (Hiruko) ซึ่งเป็นอสูรเด็กดูดเลือกมนุษย์ การสมรสจึงไม่เกิดผลดี สตรีจึงไม่ควรเป็นฝ่ายพูดกับผู้ชายก่อนเพราะ
ไม่เหมาะสม ดังนั้น คู่วิวาห์ในสวรรค์ทั้งคู่จึงต้องแต่งงานกันใหม่ คราวนี้การแต่งงานมีพิธีโดยถูกต้อง กล่าวคือให้ฝ่ายชายพูดก่อน
ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นมาของคู่สมรสในสวรรค์ของญี่ปุ่นดังกล่าวมานี้เป็นเรื่องแสดงว่า ในขณะที่ตำนานเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นมา
สังคมของญี่ปุ่นที่ฝ่ายสตรีเป็นใหญ่ได้เปลี่ยนเป็นสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ และวคามล้มเหลวในการแต่งงานครั้งแรกไม่เพียงชี้ให้
เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น หากแต่ยังชี้ให้เห็นถึงความถูกต้องด้วย คู่สมรสแห่งสวรรค์ซึ่งเป็นพี่น้องกันบัดนี้ ให้กำเนิดเด็ก
สมบูรณ์ 12 คน ทุกคนคือ กามิ แต่ละกามิปกครองส่วนต่างๆ ของจักรวาลและของโลกนี้ จนกระทั่งได้กามิองค์ที่ 33 ซึ่งเป็นอัคคีเทพ
อัคคีเทพไหม้มดลูกของอิซานามิ ทำให้อิซานามิถึงแก่กรรม อิซานากิเดือดดาลอัคคีเทพ จับตัวมาหั่นเป็นท่อนๆ และด้วยความ
รักอย่างสุดซึ้ง อิซานากิเดินทางไปยังยมโลกเพื่อเอาอิซานากิกลับคืนมา อิซานากิเดินทางไปยังยมโลก โดยไม่ได้ผลอะไรกลับต้อง
มาตกใจมากเมื่อมองเห็นร่างกายทรุดโทรมของอิซานามิ จนทำให้เขาต้องหลบหนีอิซานามิจากยมโลกด้วยความยากลำบาก ปีศาจ
ของอิซานามิและฟ้าผ่านับร้อยครั้งไล่หลังการหลบหนีของอิซานากิ จากพฤติกรรมของตนเองทำให้อิซานากิมีความรู้สึกว่าตัวเอง
มีความสกปรก ดังนั้น จึงต้องการทำให้ตนเองบริสุทธิ์ อิซานากิทำพิธีอาบน้ำ
มีตำนานเรื่องหนึ่ง ที่คนญี่ปุ่นรู้จักดี และเขียนเป็นภาพไว้เป็นจำนวนมากมายหลายแห่ง ตำนานเรื่องนี้กล่าวว่า อมาเตระสุตก
ใจและกลัวเทพแห่งพายุน้องชายของเธอ ซึ่งเดินทางเข้าไปในถ้ำแหง่หนึ่ง กามิทุกองค์บนสรวงสวรรค์พากันวิตกกังวล เมื่อ
เทพีองค์นี้หายไป และมีความงุนงงว่า จะทำอย่างไรกันดี แล้วบรรดากามิก็พากันวางอุบายเอากระจกเงาบานหนึ่งวางที่ปากถ้ำซึ่งจ
ะสามารถใช้แผ่นหินเปิดปากถ้ำได้ แล้วกามิสตรีชื่อ อุทสุเม (Utsume) กามิแห่งการฟ้อนรำ ตีกลองให้ความบันเทิงแก่กามิองค์อื่นๆ
แล้วบรรดากามิพากันส่งเสียงหัวเราะเสียงดัง อมาเตระสุได้ยินเสียงประหลาดดังอยู่นอกถ้ำเช่นนั้น ก็อยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจึงเดิน
ออกมานอกถ้ำ ขณะเมื่อพ้นปากถ้ำ กามิถือเชือกหย่อนจากแผ่นหินลงมาปิดปากถ้ำ เมื่ออมาเตระสุมองเห็นใบหน้าของตนเองใน
กระจก ก็ประหลาดใจ แล้วอมาเตระสุก็ถูกนำมายังที่ประชุมของกามิ
กระจกเงาบานนี้ ในศาสนาชินโต พร้อมกับลูกปัดอิซานากิ บิดาของนางและดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตัดออกมาจากหางมังกร กลาย
เป็นศาสนาวัตถุที่สำคัญยิ่ง ศาสนาวัตถุเหล่านี้เรียกว่าชินไต หรือวัตถุอาถรรพ์ ถูกเก็บไว้ในห้องพิเศษในพระราชวัง เป็นวัตถุ
ศักดิ์สิทธิ์จนต้องห่อไว้ด้วยความระมัดระวัง แล้วห่อชั้นใหม่ทับซ้อนๆลงไป จนชั้นในๆผุพัง เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นห่อใหญ่ขึ้นมา
ชินไตหรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ และกึ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่มากมายหลายชนิดทั่วประเทศญี่ปุ่น มีทั้งในบ้านส่วนตัว และในศาลเจ้า และยิ่ง
ไปกว่านั้นชาวญี่ปุ่นยังเชื่อว่าภูเขาที่มีชื่อเสียงทุกแห่งในญี่ปุ่นเป็นชินไต ต้นไม้และภูเขาที่มีรูปร่างแปลกประหลาดก็เป็นชินไต
ดังนั้น สิ่งของตามธรรมชาติที่มีลักษณะแปลกประหลาดพิเศษจึงเป็นสิ่งควรเคารพบูชา
ชินไตชนิดหนึ่งมีความแพร่หลายมากที่สุด มีประวัติความเป็นมาควรค่าแก่การศึกษามาก คือ โกไฮ (Gohei) ซึ่งจะมองเห็นทั่ว
ไปในญี่ปุ่น โกไฮคือแผ่นกระดาษแต่เดิมโกไฮใช้แทนเสื้อผ้า ซึ่งมีผู้คนถวายให้กับพระเจ้า ต่อมาประเพณีนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป
แทนที่จะนำเสื้อผ้าให้กับพระเจ้า คนจะเอาเงินถวายและได้โกไฮ หรือวัตถุมงคลให้เกิดความโชคดีตลอดไปตามคำสั่งของพระเจ้า
จากประเพณีเช่นนี้เราจะเห็นว่า แต่เดิมทีนั้นมนุษย์รับใช้พระเจ้า เมื่อศาสนาพัฒนามากขึ้น เป็นที่ต้องการของมนุษย์มากขึ้น
พระเจ้าจึงต้องรับใช้มนุษย์ พระเจ้าจะช่วยมนุษย์ได้ดีที่สุดโดยการที่มนุษย์ซื้อบางอย่างในศาลของพระองค์ เงินที่ผู้คนจ่ายไป
เป็นหลักประกันการอนุรักษ์และดำรงไว้ซึ่งศาสนา ดังนั้นวิวัฒนาการของพระ จึงพัฒนาการจากการที่คนมองเห็นธรรมชาติ
ของสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ มาเป็นคนสนใจในสถานะของตนเอง เมื่อถึงจุดนี้ก็มาถึงยุคของการปฏิรูป อย่างเช่นรูป 6 เหลี่ยม
ของอี๋ชิง เป็นสัญลักษณ์การถ่วงดุลระหว่างฝ่ายหนึ่งกับอีกฝ่ายหนึ่ง
ศาลเจ้าชินโตมีอยู่มากมาย สิ่งของธรรมชาติที่มีความสำคัญทุกชนิด อาคารทุกหลังหรือสิ่งของมนุษย์ทำขึ้นจะมีกามิคุ้มครอง
อยู่ด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งทุกวันนี้เมื่อมีการขุดเจาะบ่อน้ำมัน หรือขณะขุดคลอง คนงานญี่ปุ่นจะรวมตัวกันประกอบพิธีกรรม
เคารพวิญญาณของบ่อน้ำมัน หรือคลองที่จะขุดเพื่อการชลประทาน การกระทำเช่นนี้ก็คล้ายคลึงกับพิธีกรรมบางอย่างที่เราได้จัด
ขึ้นในพิธีเปิดถนนหรือเขื่อน สำหรับชาวญี่ปุ่นนั้นมีความรู้สึกผูกพันกับธรรมชาติ ความรักธรรมชาติ ความรักชาติและศาสนา
อยู่มาก เรื่องเหล่านี้จึงไม่สามารถแยกออกจากกันได้จริงๆ ในความรู้สึกของคนญี่ปุ่น เพราะศาสนาชินโตเติบโตจากสภาพแวดล้อม
ตามธรรมชาติรอบๆคนญี่ปุ่น ในศานาชินโตได้แสดงความรู้สึกดังกล่าวออกมาในรูปของการแปลความหมายและการศึกษาธรรมชาติ
และยังได้แสดงออกในลัทธิบูชิโด และเซนของญี่ปุ่นด้วย ในเรื่องเช่นนี้นักวิจัยบางคนกล่าวว่า ในขณะที่ศาสนาของชาวตะวันตก
ปัจจุบันไม่ได้ให้ความสนใจกับปรากฏการทางธรรมชาติอยู่เลย นอกจากจะสนใจต่อมนุษยชาติประการเดียวเท่านั้น แต่ชินโตของ
ญี่ปุ่นยังคงมีความสนใจอยู่กับปรากฏการณ์ของธรรมชาติ
ลัทธิชาตินิยมกับความรู้สึกทางศาสนาเป็นสิ่งผูกพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคมบุพกาล เมื่อกลาเวลาผ่านไป และ
ศาสนาพุทธถูกนำมาที่ญี่ปุ่นครั้งแรกในปี ค.ศ.551 ปรัชญาชั้นสูงในศาสนาพุทธจึงเข้ามาผสมกับศาสนาชินโตของญี่ปุ่น
ศาสนาพุทธจากอินเดียผ่านมาทางเกาหลีไปยังญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น ญี่ปุ่นยังรับเอาศาสนาเต๋า และขงจื้อจากจีนอีก ญี่ปุ่นจึงนำ
เอาวัฒนธรรมของจีนมาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน
ศาสนาพุทธหลายนิกาย และกับชินโตหลายสำนักได้ผสมผสานกันทำให้เวลาต่อมาเกิดเป็นเรียวบุชินโต (Ryobu Shinto)
เป็นลูกผสมระหว่างหลักการในศาสนาพุทธกับพิธีกรรมดั้งเดิมขั้นพื้นฐานของศาสนาชินโต
นักปรัชญาญี่ปุ่น ถ้าหากเรียกตัวเองว่า เป็นชาวพุทธจะมีทฤฎีว่ามีกามิเป็นจำนวนมากเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า
และพระโพธิสัตว์เป็นแหล่งกำเนิดของกามิ หรือกล่าวสั้นว่ากามิมาจากพระพุทธเจ้า สำนักแนวความคิดเช่นนี้นำโดย
โกโบดาอิชิ (Kobo Daishi เกิดปี ค.ศ. 774) เป็นผู้ประกาศว่า อมาเตระสุคืออมิธพุทธ ตรงกันข้าม นักปรัชญาญี่ปุ่นคนใดหาก
เรียกตัวเองว่าเป็นชาวชินโต จะมีทฤษฎีว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มาจากกามิ เป็นความจริง พระพุทธเจ้ามีอยู่จริงๆ มี
อำนาจและความดี แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นมาจากปฐมกามิ ทั้งสองนิกายนี้ความจริงมีความเหมือนกันอยู่มาก
การสมผสานกันระหว่างพุทธศาสนากับชินโตทำให้ราชวงศ์เมจิเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว ต้องประกาศออกมาว่า ชินโต
ไม่ใช่ศาสนา ดังนั้นเรื่องราวของชินโตจึงถูกส่งให้เป็นเรื่องของกระทรวงภายในของญี่ปุ่น ให้เป็นผู้ดำเนินงานในขณะที่
ศาสนาพุทธทุกนิกาย สำนักสงฆ์ในศาสนาพุทธทุกแห่ง รวมทั้งโบสถ์ของศาสนาพุทธให้อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ
กระทรวงการศาสนา ในมัยนั้นมีการประกาศเป็นทางการว่า ยาสุมาโรผิดพลาดเมื่อเขากล่าวว่า กามิไม่ใช่มิ ชิคือชินเต๋า
เพราะกามิหมายถึงพลังธรรมชาติไม่ใช่หมายถึงพระเจ้า ดังนั้น ชินโตในแก่นแท้จึงมิได้เป็นอะไรมากกว่าการเคารพบรรพบุรุษ
ปัจจุบันญี่ปุ่นต้องเผชิญกับสถาณการยุ่งยากเพราะพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งเป็นแนวทางเก่าแก่แห่งความรักชาติของชาวญี่ปุ่น
มาอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงภายใน และไม่ถือว่าเป็นรากฐานทางศาสนา แต่ถือว่าศาสนาพุทธคือศาสนา และอยู่ภาย
ใต้การดำเนินงานของกระทรวงศาสนา
อย่างไรก็ดี มีศาลชินโต 100,000 แห่ง เป็นที่เคารพสักการะของชาวญี่ปุ่น และโรงเรียนเกือบทุกแห่งจะมีศาลชินโตเล็กๆตั้งอยู่
ปัจจุบันมีนกายของชินโตอยู่มากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่ามีหลักการเดิมของชินโตหลงเหลืออยู่ แต่ใช้ชื่อว่า นิกายของชินโต
เพื่อว่าจะได้รับการคุ้มครองป้องกันดีขึ้น กล่าวโดยสรุป ศาสนาชินโต เป็นศาสนาพื้นเมืองเดิมของญี่ปุ่นและแพร่หลายอยู่ภายใน
ญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คำว่าชินโตตามความเข้าใจของยาสุมาโรเป็นคำมาจากภาษาจีนของคำว่า ชินเต๋า แต่ญี่ปุ่นออกเสียงเรียก
เป็นชินโต ด้วยเหตุที่แปลคำว่า ชินโตคือทางของพระเจ้า แต่นักปราชญ์ในยุคใหม่กล่าวว่า ยาสุมาโรสำคัญผิด ควรให้ความหมายของ
คำว่าชินโตคือทางเดินของมนุษย์มากกว่า ด้วยเหตุนี้ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของจักรพรรดิเมจิจึงประกาศว่า
ชินโตไม่ใช่ศาสนา
ลักษณะของชินโตคือ แนวความเชื่อถือขั้นพื้นฐานในเร่องของอำนาจธรรมชาติ และเชื่อว่าในธรรมชาติมีกามิอยู่ในโลก
เกาะญี่ปุ่นเองเกิดมาจากการสร้างของกามิ
ในตอนแรกๆพิธีกรรมในศาสนาชินโตเป็นพิธีกรรมแบบง่ายๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานๆ ก็กลายเป็นพิธีกรรมซับซ้อน
มากยิ่งขึ้น ต่อมาเมื่อศาสนาพุทธแพร่เข้ามาในญี่ปุ่นชินโตก็ถูกรวมกับศาสนาพุทธจนกระทั่งในปัจจุบันเกิดมีนิกายทางชินโต
มากมายโดยไม่ทิ้งร่องรอยเดิมของชินโตในยุคแรกๆให้เห็น
อย่างไรก็ดี ชินโต พุทธ เต๋า ขงจื้อ ได้วางรากฐานทางอารยะธรรมให้ญี่ปุ่น เป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่ในปัจจุบัน
บล็อกนี้เป็นบล็อกที่ออกแบบเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆร่วมกันของแต่ละบุคคลไม่เจาะจงว่าจะเป็นเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะ และเนื้อหาที่นำมาแสดงส่วนใหญ่รวบรวมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ กัน บล็อกนี้ไม่มีเจตนาล่วงละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด เพียงต้องการรวบรวมมาไว้เพื่อศึกษาเป็นวิทยาทานและธรรมทานเท่านั้น
ข้อมูลส่วนตัว
- เทวมินทร์ 083-6617556
- จังหวัดมุกดาหาร, ตำบลนาสะเม็ง อำเภอดอนตาล, Thailand
- tavamin@hotmail.com
ผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บ
ค้นหาบทความในบล็อกนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น