ความหมายในภาษาไทย
คำว่า “ศาสนา” แปลมาจากคำว่า สาสนํ ในภาษาบาลี, ศาสนํ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง “คำสั่งสอน” คำสั่งสอนที่นับว่าเป็นศาสนานั้น เป็นประดิษฐกรรมทางความคิดอันสูงสุดของคนเท่านั้น ของสัตว์ไม่มี ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นสมบัติของคนถ้าคนไม่มีศาสนาก็เท่ากับไม่มีสมบัติของคน
ความหมายในภาษาอังกฤษ
คำว่า “ศาสนา” ในภาษาไทย ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “religion” คำอังกฤษคำนี้มีผู้สันนิษฐานว่า มาจากภาษาลาติน “religio” และคำนี้ในภาษาลาติน ก็สันนิษฐานอีกว่ามาจาก 2 คำ คือ “relegere” ซึ่งแปลว่า “การปฏิบัติต่อ หรือการเกี่ยวข้องกับความระมัดระวัง” อย่างหนึ่ง, จากคำว่า “religare” ซึ่งแปลว่า “ผูกพัน”
นอกจากนี้ยังมีการให้ความหมายหรือคำจำกัดความตามเนื้อหาที่นักปราชญ์ทางศาสนาได้ให้ไว้ ซึ่งจะแตกต่างกันไป ดังนี้
คำว่า “ศาสนา” แปลมาจากคำว่า สาสนํ ในภาษาบาลี, ศาสนํ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง “คำสั่งสอน” คำสั่งสอนที่นับว่าเป็นศาสนานั้น เป็นประดิษฐกรรมทางความคิดอันสูงสุดของคนเท่านั้น ของสัตว์ไม่มี ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นสมบัติของคนถ้าคนไม่มีศาสนาก็เท่ากับไม่มีสมบัติของคน
ความหมายในภาษาอังกฤษ
คำว่า “ศาสนา” ในภาษาไทย ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “religion” คำอังกฤษคำนี้มีผู้สันนิษฐานว่า มาจากภาษาลาติน “religio” และคำนี้ในภาษาลาติน ก็สันนิษฐานอีกว่ามาจาก 2 คำ คือ “relegere” ซึ่งแปลว่า “การปฏิบัติต่อ หรือการเกี่ยวข้องกับความระมัดระวัง” อย่างหนึ่ง, จากคำว่า “religare” ซึ่งแปลว่า “ผูกพัน”
นอกจากนี้ยังมีการให้ความหมายหรือคำจำกัดความตามเนื้อหาที่นักปราชญ์ทางศาสนาได้ให้ไว้ ซึ่งจะแตกต่างกันไป ดังนี้
1. ดร.โรเบิต เออร์เนสต์ ฮุม เสนอไว้ 8 ข้อ
1.เน้นความหมายทางพุทธิปัญญา (Intelectual Emphasis)
2.เน้นความหมายทางศีลธรรม (Moral Emphasis)
3.เป็นความหมายทางสะเทือน (Emotional Emphasis)
4.เน้นความหมายทางการบูชา (Emphasis worship)
5.เน้นความหมายทางประโยชน์ส่วนตน Emphasis on self-advantage)
6.เน้นความหมายทางสังคม (Social Emphasis)
7.เน้นความหมายเรื่องส่วนตนของแต่ละคน (Indivividual Emphasis)
8.เน้นความหมายทางกระบวนการแห่งอุดมคติอันสูงสุด
(Emphasis on the Supeme Idealizing process)
1.เน้นความหมายทางพุทธิปัญญา (Intelectual Emphasis)
2.เน้นความหมายทางศีลธรรม (Moral Emphasis)
3.เป็นความหมายทางสะเทือน (Emotional Emphasis)
4.เน้นความหมายทางการบูชา (Emphasis worship)
5.เน้นความหมายทางประโยชน์ส่วนตน Emphasis on self-advantage)
6.เน้นความหมายทางสังคม (Social Emphasis)
7.เน้นความหมายเรื่องส่วนตนของแต่ละคน (Indivividual Emphasis)
8.เน้นความหมายทางกระบวนการแห่งอุดมคติอันสูงสุด
(Emphasis on the Supeme Idealizing process)
1. Max Miller เน้นพุทธิปัญญา (Intellect) กล่าวว่า ศาสนา คือ ความสามารถหรืออำนาจทางจิตซึ่งไม่ขึ้นแก่ความรู้สึกทางประสาทสัมผัสหรือเหตุผล สามารถนำบุคคลให้เข้าถึงพระเจ้าภายใต้พระนามต่างๆ
2.Immanuel Kant เน้นศีลธรรม (Moral) กล่าวว่า ศาสนา คือ การยอมรับรู้ถึงหน้าที่ทั้งปวง ตามเทวโองการ
3.Allen Menses เน้นการบูชา (Worship) กล่าวว่า ศาสนา คือ การบูชาพลังที่สูงกว่า
4.Edward Scribner Ams เน้นสังคม (Society) กล่าวว่า ศาสนา คือ ความรู้สึกถึงคุณค่าทางสังคมอันสูงสุด
5.G.W. Stratton เน้นอุดมคติอันสูงส่ง (Supreme Ideal) กล่าวว่า ศาสนา คือ ความนิยมชมชอบถึงโลก
6.Adams Brown เน้นชีวิต (Life) กล่าวว่า ศาสนา หมายถึงชีวิตของบุคคลในส่วนที่สัมพันธ์กับท่านผู้เหนือมนุษย์ธรรมดาของเขา
7.หลวงวิจิตรวาทการ เน้นองค์ประกอบของศาสนา กล่าวว่า คำสอนที่จัดเป็นศาสนานั้นต้องเป็นเรื่องที่ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีคำสอนทางจรรยา มีศาสดา มีคณะบุคคลที่รักษาความศักดิ์สิทธิ์และคำสอนไว้ เช่น พระหรือนักบวช และมีการกวดขันเรื่องความจงรักภักดี
8.ศ. เสถียร พันธรังสี เน้นลักษณะของศาสนา กล่าวว่า ลักษณะที่เรียกว่าศาสนาได้ มีหลักดังนี้คือ ต้องเป็นเรื่องความเชื่อถือได้โดยมีความศักดิ์สิทธิ์ มีคำสอนทางธรรมจรรยา มีศาสดา และมีผู้สืบต่อคำสอนที่เรียกว่าพระหรือนักบวช
9.อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เน้นลักษณะคำสอน กล่าวว่า คำสอนที่นับว่าเป็นศาสนานั้นว่าด้วยเรื่องต่าง ๆ คือ ความเชื่อในอำนาจที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาบางอย่าง เช่น อำนาจของธรรม หรือ อำนาจของพระเจ้า มีหลักศีลธรรม มีคำสอนว่าด้วยจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งชีวิต และมีพิธีกรรม
10. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของศาสนาไว้ว่า ศาสนา คือ ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมีหลักแสดงกำเนิดและสิ้นสุดของโลก เป็นต้น อันเป็นไปในง่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในง่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทำตามความเห็นหรือตามคำสั่งสอนในความเชื่อถือนั้นๆ
ศาสนาคืออะไร
- คำสั่ง(บังคับให้ทำ)
- คำสอน (แนะนำชักชวนให้ทำ)
- คำสั่งสอน
- ความเชื่อในอำนาจที่มองไม่เห็นด้วยตาบางอย่าง
- หลักศีลธรรม
- จุดหมายสูงสุดแห่งชีวิต
- พิธีกรรมทางศาสนา
เหตุให้เกิดศาสนาในโลก
มนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์ได้ประสบกับปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ซึ่งมีทั้งความน่ากลัว แปลกประหลาด และมหัศจรรย์สำหรับตัวมนุษย์ เช่น ความมืด ความสว่าง พายุพัด ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ไฟป่า เป็นต้น และด้วยความที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์เหล่านั้น มนุษย์จึงเกรงกลัวปรากฏธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้น มนุษย์จึงแสวงหาสิ่งที่จะมาคุ้มครองป้องกันตนจากภัยอันตรายที่คิดว่าจะได้รับจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ รวมทั้งแสวงหาสิ่งซึ่งเชื่อว่าสามารถคุ้มครองให้อยู่อย่างเป็นสุข ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดวัฒนธรรม ตลอดจนประเพณียอมรับนับถือพลังลึกลับทางธรรมชาติว่าเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ และได้สร้างขนบธรรมเนียมที่คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น และควรประพฤติต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยอมรับนับถือ จากความเชื่อของกลุ่มคน และขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ จึงค่อยๆ วิวัฒนาการเรื่อยมา จนกระทั่งกลายเป็นลัทธิ และศาสนาต่างๆ นั่นเอง
เหตุให้เกิดศาสนาในโลกสรุปได้ดังนี้
- เกิดจากความไม่รู้ ( อวิชชา ) ความไม่รู้ ได้แก่ ความไม่รู้เหตุรู้ผล เริ่มแต่ความไม่รู้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ ทางดาราศาสตร์ ไม่รู้ชีววิทยา และไม่รู้จักธรรมชาติอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เมื่อมีความไม่รู้เหตุผลก็เกิดความกลัวในพลังทางธรรมชาติ ต้องการความช่วยเหลือจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งมีอำนาจเหนือตน จึงมีการส ร้ างขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อบูชาเอาใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เพื่อที่จะสามารถช่วยให้มนุษย์มีความอยู่รอดไม่มีภัยต่อๆ ไป
- เกิดจากความกลัว มนุษย์จะอยู่ในโลกได้ต้องมีหน้าที่ คือ การต่อสู้กับธรรมชาติ และสู้สัตว์ร้ายนานาชนิด และโดยเฉพาะกับมนุษย์ด้วยกันเอง ยามใดที่เราสามารถเอาชนะธรรมชาติหรือคนได้ ความเกรงกลัวธรรมชาติ สัตว์ร้าย หรือมนุษย์ย่อมไม่มี แต่ถ้าไม่สามารถต่อสู้ได้ มนุษย์จะเกิดความก ลั วต่อสิ่งเหล่านั้น และในยามนั้นเอง ที่มนุษย์ต้องพากันกราบไหว้บูชา และแสดงความจงรักภักดี ทำพิธีสังเวยเซ่นไหว้ต่อธรรมชาติดังกล่าว ด้วยความหวังหรืออ้อนวอนขอให้สำเร็จตามความปรารถนาอันเป็นผลตอบแทนขึ้นมาเป็นความสุข ความปลอดภัย และอยู่ได้ในโลก
- เกิดจากความจงรักภักดี ความจงรักภักดีเป็นศรัทธาครั้งแรกที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยยอมเชื่อว่า เป็นกำลังก่อให้เกิดความสำเร็จได้ทุกเมื่อ ในกลุ่มศาสนาที่นับถือพระเจ้า ( ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ) มุ่งเอาความภักดีต่อพระเจ้าเป็นหลักใหญ่ในศาสนา ในกลุ่มชาวอารยันมี ศ าสนาพราหมณ์ ( ฮินดู ) มีคำสอนถึงภักติมรรค คือ ทางแห่งความภักดี อันจะยังบุคคลให้ถึงโมกษะ คือหลุดพ้นได้ แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าศรัทธา หรือความเชื่อ ความเลื่อมใสเท่านั้นที่จะพาข้ามโอฆสงสารได้ เมื่อเป็นดังนี้แสดงว่ามนุษย์ยอมตนให้อยู่ใต้อำนาจของธรรมชาติเหนือตน อันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเองซึ่งเรียกว่าเทพเจ้า หรือพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดตามมาคือมนุษย์ยอมให้เครื่องเ ซ่น สังเวยแก่ธรรมชาตินั้นๆ ด้วย ลักษณะนี้จึงเท่ากับมนุษย์เสียความเป็นใหญ่ในตน ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งที่ตนคิดว่ามีอำนาจเหนือตน
- เกิดจากความอยากรู้เหตุผล ( ปัญญา ) ศรัทธาอันเกิดจากปัญญาคือมูลเหตุให้เกิดศาสนาอีกทางหนึ่ง แต่ศาสนาประเภทนี้มักเป็นฝ่ายอเทวนิยม คือไม่สอนเรื่องเทพเจ้าสร้างโลก ไม่ถือเทพเจ้าเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนา หากแต่ถือความรู้ประจักษ์จริงเป็ น สำคัญ เช่น พระพุทธศาสนา ความเน้นหนักของพระพุทธศาสนา คือ ญาณ หรือปัญ ญ าชั้นสูงสุดที่ทำให้รู้แจ้งประจักษ์ความจริง และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
- เกิดจากอิทธิพลของคนสำคัญ ศาสนาหรือลัทธิที่เกิดจากความสำคัญของบุคคลเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกแห่งหน ที่มีเรื่องราว หรือความสำคัญของบุคคลที่อยู่ ณ ที่นั้น ความสำคัญของบุคคลที่เป็นเหตุเริ่มต้นของศาสนา หรือลัทธิ โดยมากมักมีเหตุเริ่มต้นโดยความบริสุทธิ์จากจิตใจของมนุษย์ ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครวางหลัก อีกทั้งเมื่อใครนับถือความสำคัญของบุคคลผู้ใดก็จะพากันกราบไหว้ และเคารพบูชา
6. เกิดจากลัทธิการเมือง ลัทธิการเมืองอันเป็นมูลเหตุของศาสนาเป็นเรื่องสมัยใหม่ อันสืบเนื่องจากการที่ลัทธิการเมืองเฟื่องฟูขึ้นมา และลัทธิการเมืองนั้นได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อคน บ างกลุ่ม เป็นต้นว่า กลุ่มคนยากจน ซึ่งคนเหล่านั้นก็ได้ละทิ้งศาสนาเดิมที่ตนเองนับถืออยู่ แ ล้ วหันมานับถือลัทธิการเมืองดังกล่าวเป็นศาสนาประจำสังคม หรือชาตินิยมลัทธิการเมือง เป็นต้นว่า ลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสม์ และลัทธิคอมมิวนิสต์
ประเภทของศาสนา
ประเภทศาสนา มีวิธีการจัดแบ่งที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง ได้แก่
1. แบ่งประเภทตามความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า
1.1 เทวนิยม (Theism) นับถือพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ สร้างโลกและสรรพสิ่งต่างๆ
แบ่งเป็น
แบ่งเป็น
ก . เอกเทวนิยม (Monotheism) นับถือพระเจ้าองค์เดียว ได้แก่ ศาสนาสิข ศาสนาเต๋า ศาสนายูดาหรือยิว ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม
ข . พหุเทวนิยม (Polytheism) นับถือพระเจ้าหลายองค์ และอาจผสมผสานกับการบูชาธรรมชาติ (Nature worship) ได้แ ก่ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ศาสนาขง จื๊ อ ศาสนาชินโต
1.2 อเทวนิยม (Atheism) เป็นศาสนาที่ไม่มีการนับถือพระเจ้า คือไม่เชื่อหรือไม่สอนให้เชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างโลกได้แก่ ศาสนาพุทธ และ เชนหรือนิครนถ์
2. แบ่งประเภทตามการที่มีผู้นับถืออยู่หรือไม่
2.1 ศาสนาที่ตายไปแล้ว (Dead Religions) หมายถึง ศาสนาที่มีผู้นับถือในอดีตกาล แต่ในปัจจุบันไม่มีผู้นับถือ มี 12 ศาสนา ได้แก่
1. ศาสนาของพวกกรีกโบราณ
2. ศาสนาของพวกติวตันโบราณ
3. ศาสนาของพวกโรมันโบราณ
4. ศาสนาของพวกสแกนดิเนเวียนโบราณ
5. ศาสนาของพวกเปรูโบราณ
6. ศาสนาของพวกเม็กซิกันโบราณ
7. ศาสนาของพวกอียิปต์โบราณ
8. ศาสนาของพวกบาบิโลเนียน
9. ศาสนาของพวกฟินิเชียน
10. ศาสนามนีกี
11. ศาสนามิถรา
12. ศาสนาของพวกฮิทไท
2. ศาสนาของพวกติวตันโบราณ
3. ศาสนาของพวกโรมันโบราณ
4. ศาสนาของพวกสแกนดิเนเวียนโบราณ
5. ศาสนาของพวกเปรูโบราณ
6. ศาสนาของพวกเม็กซิกันโบราณ
7. ศาสนาของพวกอียิปต์โบราณ
8. ศาสนาของพวกบาบิโลเนียน
9. ศาสนาของพวกฟินิเชียน
10. ศาสนามนีกี
11. ศาสนามิถรา
12. ศาสนาของพวกฮิทไท
2.2 ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ (Living Religions) หมายถึง ศาสนาที่ยังมีผู้นับถืออยู่ในปัจจุบัน มี 11 ศาสนา ได้แก่
1. ศาสนาคริสต์
2. ศาสนาอิสลาม
3. ศาสนาพุทธ
4. ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
5. ศาสนาโซโรอัสเตอร์
6. ศาสนาเชน
7. ศาสนาสิข
8. ศาสนาเต๋า
9. ศาสนาขงจื้อ
10. ศาสนาชินโต
11. ศาสนายิว
2. ศาสนาอิสลาม
3. ศาสนาพุทธ
4. ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
5. ศาสนาโซโรอัสเตอร์
6. ศาสนาเชน
7. ศาสนาสิข
8. ศาสนาเต๋า
9. ศาสนาขงจื้อ
10. ศาสนาชินโต
11. ศาสนายิว
3. แบ่งประเภทตามการมีผู้นับถือเฉพาะชาติหรือหลายชาติ
3.1 ศาสนาของชาติ (National Religions) ได้แก่ ศาสนาที่เกิดขึ้นในประเทศนั้น และมีผู้นับถือภายในประเทศนั้น หรือชนชาตินั้น ได้แก่
1 . ศาสนาชินโต มีผู้นับถือเฉพาะชนชาติญี่ปุ่น
2. ศาสนาขงจื๊อ มีผู้นับถือเฉพาะชาวจีน
3. ศาสนาเต๋า มีผู้นับถือเฉพาะชาวจีน
4. ศาสนาศาสนาเชน มีผู้นับถือเฉพาะชาวอินเดีย
5. ศาสนาสิข มีผู้นับถือเฉพาะชาวอินเดีย
6. ศาสนาหราหมณ์-ฮินดู มีผู้นับถือเฉพาะชาวอินเดีย
7. ศาสนายิวหรือยูดา มีผู้นับถือเฉพาะชนชาติยิว
8. ศาสนาโซโร อั สเตอร์ เกิดในเปอร์เชียแต่ยังมีผู้นับถือประมาณ 1 แสนคนในอินเดีย
2. ศาสนาขงจื๊อ มีผู้นับถือเฉพาะชาวจีน
3. ศาสนาเต๋า มีผู้นับถือเฉพาะชาวจีน
4. ศาสนาศาสนาเชน มีผู้นับถือเฉพาะชาวอินเดีย
5. ศาสนาสิข มีผู้นับถือเฉพาะชาวอินเดีย
6. ศาสนาหราหมณ์-ฮินดู มีผู้นับถือเฉพาะชาวอินเดีย
7. ศาสนายิวหรือยูดา มีผู้นับถือเฉพาะชนชาติยิว
8. ศาสนาโซโร อั สเตอร์ เกิดในเปอร์เชียแต่ยังมีผู้นับถือประมาณ 1 แสนคนในอินเดีย
3.2 ศาสนาของโลก (Universal Religions) คือ ศาสนาสากล ได้แก่ ศาสนาที่เกิดในแห่งหนึ่ง แต่มีผู้นับถืออีกหลายแห่งในประเทศอื่น ได้แก่
1. ศาสนาคริสต์
2. ศาสนาอิสลามหรือมหมัด
3. ศาสนาพุทธ
2. ศาสนาอิสลามหรือมหมัด
3. ศาสนาพุทธ
4. แบ่งตามชื่อศาสนา
4.1 ชื่อตามผู้ตั้งศาสนา ได้แก่ ศาสนาขงจื๊อ ตั้งชื่อตามท่านขงจื๊อ หรือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ตั้งชื่อตามท่านศาสดา โซโรอัสเตอร์
4.2 ชื่อตามนามเกียรติยศของผู้ตั้งศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ คำว่าพุทธะ แปลว่า ท่านผู้รู้ ทั้ง ๆ ที่นามแท้จริงของพระพุทธเจ้าคือ สิทธัตถะ โคตมะ หรือศาสนาเชน คำว่า เชน มาจากคำว่า ชินะ แปลว่าผู้ชนะ ทั้งที่ชื่อจริงของผู้ตั้งศาสนาคือ วรฺธมานะ ศาสนาคริสต์ คำว่า คริสต์หรือ ไครสต์ ( Christ ) แปลว่าผู้ได้รับอภิเศก 4.3 ชื่อตามหลักคำสอนในศาสนา ได้แก่ ศาสนาเต๋า คำว่า " เต๋า " แปลว่า ทาง (The Way) หรือทิพยมรรคา (The Divine Way) ศาสนาชินโต คำว่า " ชินโต " แปลว่า ทางแห่งเทพทั้งหลาย (The Way of the Gods) ศาสนาอิสลาม คือศาสนามหมัดนั่นเอง แต่นิยมเรียกว่าอิสลาม คำว่า อิสลาม แปลว่า ยอมจำนน หรือยอมอ่อนน้อม (ต่อพระเป็นเจ้า) ศาสนาสิข แปลว่า ศาสนาของสาวก ( The religion of “the Disciples” )
4.2 ชื่อตามนามเกียรติยศของผู้ตั้งศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ คำว่าพุทธะ แปลว่า ท่านผู้รู้ ทั้ง ๆ ที่นามแท้จริงของพระพุทธเจ้าคือ สิทธัตถะ โคตมะ หรือศาสนาเชน คำว่า เชน มาจากคำว่า ชินะ แปลว่าผู้ชนะ ทั้งที่ชื่อจริงของผู้ตั้งศาสนาคือ วรฺธมานะ ศาสนาคริสต์ คำว่า คริสต์หรือ ไครสต์ ( Christ ) แปลว่าผู้ได้รับอภิเศก 4.3 ชื่อตามหลักคำสอนในศาสนา ได้แก่ ศาสนาเต๋า คำว่า " เต๋า " แปลว่า ทาง (The Way) หรือทิพยมรรคา (The Divine Way) ศาสนาชินโต คำว่า " ชินโต " แปลว่า ทางแห่งเทพทั้งหลาย (The Way of the Gods) ศาสนาอิสลาม คือศาสนามหมัดนั่นเอง แต่นิยมเรียกว่าอิสลาม คำว่า อิสลาม แปลว่า ยอมจำนน หรือยอมอ่อนน้อม (ต่อพระเป็นเจ้า) ศาสนาสิข แปลว่า ศาสนาของสาวก ( The religion of “the Disciples” )
องค์ประกอบของศาสนา
การพิจารณาว่าสิ่งใดจัดเป็นศาสนาหรือไม่นั้น โดยปกติจะพิจารณาจากองค์ประกอบของศาสนา คือ ระบบความเชื่อถือ หรือหลักคำสอนใดก็ตามที่มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ กับนับได้ว่าเป็นศาสนา
- ศาสดา คือผู้ตั้งศาสนา หรือผู้สอนดั้งเดิม
- คัมภีร์ศาสนา คือ ข้อความที่ท่องจำกันไว้ได้แล้ว ได้จดจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หลักคำสอน หรือ หลักธรรม รวมอยู่ในข้อนี้
- นักบวช คือผู้สืบต่อศาสนา หรือผู้แทนเป็นทางการของศาสนานั้นๆ ซึ่งมีข้อกำหนดคุณสมบัติไว้ต่างๆ กันตามคติของแต่ละศาสนา
- วัด หรือ ศาสนสถาน คือที่ตั้งทางศาสนา หรือ ปูชนียสถาน คือสถานที่เคารพทางศาสนา
- เครื่องหมาย หรือสิ่งแทน , พิธีกรรม รวมทั้ง ปูชนียวัตถุ คือสิ่งที่พึงเคารพบูชา
ความสำคัญของศาสนา
แต่ละศาสนาไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบครบหมดทุกข้อ แต่การมีองค์ประกอบน้อยเกินไป ทำให้นักการศาสนา ไม่นิยมจัดว่าเป็นศาสนา แต่จัดเป็นเพียงลัทธิ หรือความเชื่อถือเท่านั้น
1. ศาสนาทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพราะทุกศาสนาล้วนมุ่งหวังให้ศาสนิกชนของตนเป็นคนดี และเมื่อศาสนิกชนเป็นคนดีแล้วสังคมก็ย่อมจะปราศจากความเดือดร้อน
2. ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมจรรยา และขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม และหากบุคคลในสังคม
3. ศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพราะศาสนิกชนสามารถดำเนินวิถีชีวิตตามแบบอย่างของพระศาสดา หรือปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา
4. ศาสนาจะช่วยให้มนุษย์ทราบว่าสิ่งใดดีชั่ว ถูกผิด ตามมาตรฐานของศาสนานั้น ๆ และทราบถึงผลแห่งการกระทำนั้น ๆ เช่น คำสอนเรื่องหลักกรมในพระพุทธศาสนา ว่าทำดีได้ดี หรือทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
5. ศาสนาเป็นแหล่งรวมศิลปวิทยาการ และถ่ายทอดวิทยาการ เนื่องจากจะเป็นแหล่งความรู้ของศาสตร์แขนงต่างๆ และถ่ายทอดศาสตร์เหล่านั้นไปสู่มนุษย์ในสังคม ความรู้ทางการแพทย์ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม การช่าง การดนตรี และหัตถกรรม เป็นต้น
6. ศาสนาเป็นเครื่องส่งเสริมความมั่นคงในการปกครองประเทศ เช่น พระมหากษัตริย์ไทยทรงยึดมั่นและดำเนินนโยบายในการปกครองประเทศด้วยหลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ
7. ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ เมื่อปุถุชนเกิดความทุกข์ร้อนใจ กล่าวคือ เมื่อคนเราเกิดความทุกข์กายและใจก็ย่อมจะหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น และรูปแบบหนึ่งของการแก้ไขปัญหาคือการนำหลักธรรมทางศาสนาที่คนเคารพนับถือมาเป็นที่พึ่งทางใจ และนำหลักธรรมมาใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา
2. ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมจรรยา และขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม และหากบุคคลในสังคม
3. ศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพราะศาสนิกชนสามารถดำเนินวิถีชีวิตตามแบบอย่างของพระศาสดา หรือปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา
4. ศาสนาจะช่วยให้มนุษย์ทราบว่าสิ่งใดดีชั่ว ถูกผิด ตามมาตรฐานของศาสนานั้น ๆ และทราบถึงผลแห่งการกระทำนั้น ๆ เช่น คำสอนเรื่องหลักกรมในพระพุทธศาสนา ว่าทำดีได้ดี หรือทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
5. ศาสนาเป็นแหล่งรวมศิลปวิทยาการ และถ่ายทอดวิทยาการ เนื่องจากจะเป็นแหล่งความรู้ของศาสตร์แขนงต่างๆ และถ่ายทอดศาสตร์เหล่านั้นไปสู่มนุษย์ในสังคม ความรู้ทางการแพทย์ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม การช่าง การดนตรี และหัตถกรรม เป็นต้น
6. ศาสนาเป็นเครื่องส่งเสริมความมั่นคงในการปกครองประเทศ เช่น พระมหากษัตริย์ไทยทรงยึดมั่นและดำเนินนโยบายในการปกครองประเทศด้วยหลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ
7. ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ เมื่อปุถุชนเกิดความทุกข์ร้อนใจ กล่าวคือ เมื่อคนเราเกิดความทุกข์กายและใจก็ย่อมจะหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น และรูปแบบหนึ่งของการแก้ไขปัญหาคือการนำหลักธรรมทางศาสนาที่คนเคารพนับถือมาเป็นที่พึ่งทางใจ และนำหลักธรรมมาใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา
คำสั่งสอนที่ได้ชื่อว่าศาสนา
1. เป็นคำสั่งสอนที่ประกอบด้วยความเชื่อถือ
2. เป็นคำสั่งสอนที่ว่าด้วยศีลธรรม จรรยา พร้อมทั้งผลของการปฏิบัติตาม
3. เป็นคำสั่งสอนที่มีผู้ตั้งหรือผู้เป็นศาสดา รู้ได้ด้วยประวัติศาสตร์
4. เป็นคำสั่งสอนที่มีผู้รับสืบทอดศาสนา หรือสาวก
5. เป็นคำสั่งสอนที่กวดขันในความจงรักภักดี นับถือศาสนานี้แล้วจะไปนับถือศาสนาอื่นอีกไม่ได้
6. เป็นคำสั่งสอนที่กวดขันในความจงรักภักดี นับถือศาสนานี้แล้วจะไปนับถือศาสนาอื่นอีกไม่ได้
7. เป็นคำสั่งสอนที่มีผู้นับถือ ( ศาสนิก ) มากพอสมควร
2. เป็นคำสั่งสอนที่ว่าด้วยศีลธรรม จรรยา พร้อมทั้งผลของการปฏิบัติตาม
3. เป็นคำสั่งสอนที่มีผู้ตั้งหรือผู้เป็นศาสดา รู้ได้ด้วยประวัติศาสตร์
4. เป็นคำสั่งสอนที่มีผู้รับสืบทอดศาสนา หรือสาวก
5. เป็นคำสั่งสอนที่กวดขันในความจงรักภักดี นับถือศาสนานี้แล้วจะไปนับถือศาสนาอื่นอีกไม่ได้
6. เป็นคำสั่งสอนที่กวดขันในความจงรักภักดี นับถือศาสนานี้แล้วจะไปนับถือศาสนาอื่นอีกไม่ได้
7. เป็นคำสั่งสอนที่มีผู้นับถือ ( ศาสนิก ) มากพอสมควร
ศาสนาที่ตายไปแล้ว
ศาสนาที่ตายไปแล้ว หมายถึง ศาสนาที่ไม่มีผู้นับถือ คงเหลืออยู่แต่ซากสิ่งก่อสร้าง หรือจิตรกรรม ปฏิมากรรมพอให้สอบค้นได้ แต่ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า เป็นศาสนาเก่าแก่กว่าศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเสมอไป บางศาสนา เช่น ศาสนามนีกี (Manichaeism) เกิดประมาณ ค.ศ. 242 มีผู้สันนิษฐานว่าได้นำหลักจากศาสนาของชาวบาบิโลนโบราณ ศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ไปรวมกันตั้งเป็นอีกศาสนาหนึ่ง ศาสนานี้เกิดในศตวรรษที่ 3 และอยู่มาได้ถึงศตวรรษที่ 10 คือ มีอายุประมาณ 700 ปีก็ตาย
ศาสนาที่ตายไปแล้วในทวีปต่างๆ รวม 12 ศาสนา เป็นศาสนาประเภท เทวนิยม คือ เชื่อถือในเทพเจ้า และเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์
ศาสนาที่ตายไปแล้ว มี 12 ศาสนา ดังนี้
ศาสนาที่ตายแล้วในทวีปยุโรป
1. ศาสนาของพวกกรีกโบราณ
2. ศาสนาของพวกติวตันโบราณ
3. ศาสนาของพวกโรมันโบราณ
4. ศาสนาของพวกสแกนดิเนเวียนโบราณ
2. ศาสนาของพวกติวตันโบราณ
3. ศาสนาของพวกโรมันโบราณ
4. ศาสนาของพวกสแกนดิเนเวียนโบราณ
ศาสนาที่ตายไปแล้วในทวีปอเมริกา
1. ศาสนาของพวกเปรูโบราณ
2. ศาสนาของพวกเม็กซิกันโบราณ
2. ศาสนาของพวกเม็กซิกันโบราณ
ศาสนาที่ตายไปแล้วในทวีปอาฟริกา
1. ศาสนาของพวกอียิปต์โบราณ
ศาสนาที่ตายไปแล้วในทวีปอาฟริกา
1. ศาสนาของพวกบาบิโลเนียน
2. ศาสนาของพวกฟินิเชียน
3. ศาสนามนีกี
4. ศาสนามิถรา5. ศาสนาของพวกฮิทไท
2. ศาสนาของพวกฟินิเชียน
3. ศาสนามนีกี
4. ศาสนามิถรา5. ศาสนาของพวกฮิทไท
**************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น